จาก เศษ หิน ดิน ทรายไพบูลย์ ยงค์ชัยหิรัญ
เข้าบ้านเณร ปี พ.ศ. 2500
การศึกษา - โรงเรียนดรุณานุเคราะห์ บางนกแขวก สมุทรสงคราม
- โรงเรียนดรุณาราชบุรี
ปัจจุบัน - เจ้าของบริษัท เอสพี พาราวูดส์ จำกัด
- ประธานชมรมสภาอภิบาลวัด สังฆมณฑลจันทบุรี
- คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อฆราวาสของสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย
เพราะรัก... จึงเข้าบ้านเณร
ครอบครัวของผมนั้น แต่เดิมเตี่ยกับแม่อาศัยอยู่ที่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เตี่ยเพิ่งจะกลับใจเป็นคริสตชนเมื่อตอนที่แต่งงานกับแม่ อาชีพเดิมคือรับเหมาก่อสร้าง ถือได้ว่าครอบครัวของเราค่อนข้างมีฐานะดีเลยทีเดียว ได้สร้างอาคารเรียนของโรงเรียนดรุณานุเคราะห์ แต่ก็โดนโกงจนสิ้นเนื้อประดาตัว ในที่สุดเตี่ยจึงต้องพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ อ.อัมพวา เริ่มตั้งตัวใหม่ โดยไปทำงานเป็นลูกจ้างของร้านโชว์ห่วย ส่วนแม่ก็ทำขนมไปขาย ที่ตลาดอัมพวา ย้ายไปอยู่ได้ไม่นานก็เกิดเหตุไฟไหม้ พวกเราต้องย้ายที่พักพิง โดยข้ามฝั่งไปอาศัยอยู่ในที่ใหม่ใกล้ๆ กับที่เดิม หลังจากนั้นมีกลุ่มพลมารีจากวัดบางนกแขวกไปเยี่ยมเยียน แล้วกลับไปรายงานคุณพ่อเจ้าวัดว่ามีครอบครัว คริสตชนอาศัยอยู่แถบอัมพวา คุณพ่อจึงได้มาเยี่ยมและได้เปิดวัดที่ ต.บางน้อย คุณพ่อเดมุนนาลีซึ่งมาจากวัดบางนกแขวก ได้มาเยี่ยมครอบครัวของเรา แม่ได้เล่าให้คุณพ่อฟังว่าที่พวกเราย้ายมาอยู่ที่อัมพวาก็เพราะสิ้นเนื้อประดาตัว มาจากบางนกแขวก แล้วมาอยู่ที่นี่ก็เป็นครอบครัวคริสตชนเพียงครอบครัวเดียว คุณพ่อคงรู้สึกสงสาร ท่านจึงมาอภิบาลให้ความช่วยเหลือครอบครัวของเรา เตี่ยกับแม่เองก็มีความอดทน เตี่ยซึ่งเพิ่งจะกลับใจนั้นรู้สึกไม่ดีเลยกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นที่บางนกแขวกแต่แม่จะหมั่นสวดภาวนาและคอยปลอบใจเตี่ยและลูกๆ เสมอ พวกเราเด็กๆ ได้เรียนคำสอนจากคุณพ่อ ตอนนั้นผมกับพี่ชายซึ่งโตแล้ว แต่ยังไม่ได้รับศีลมหาสนิท เพราะพวกเราเรียนที่โรงเรียนวัดใกล้ๆ บ้าน คุณพ่อจึง พาเราไปรับศีลมหาสนิทครั้งแรกที่วัดบางนกแขวก แล้วยังขอให้แม่ช่วยสอน พวกเราท่องบทสวดต่างๆ ด้วย
คุณพ่อเดมุนนาลีได้ชวนผมเข้าบ้านเณร ซึ่งในขณะนั้นเป็นเด็กที่อยู่ห่างไกลวัด ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเณรคือใคร รู้เพียงว่า พวกเรารักคุณพ่อเดมุนนาลี เพราะท่านรัก พวกเรา ผมจึงไม่ปฏิเสธเมื่อท่านมาชวนผมไปเป็นเณร แต่เมื่อจะต้องไปอยู่ บ้านเณรจริงๆ ผมก็เกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน แต่ท่านก็บอกว่าไม่ต้องกลัว หรอก เพราะจะมีเพื่อนจากบางน้อยไปด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งเด็กจากบางน้อยคนนั้น ก็คือคุณพ่อประดิษฐ์ ว่องวารีนั่นเอง อย่างน้อยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดหน่อยว่า มีคนที่หัวอกเดียวกับเราไปด้วยอีกคน ในที่สุดผมก็ได้เข้าบ้านเณร แต่คุณพ่อ ประดิษฐ์ ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าบ้านเณร เพราะท่านไปเรียนต่อที่โรงเรียนเทคนิค ราชบุรี ผมเข้าบ้านเณรตั้งแต่ชั้น ม.1 สรุปแล้วแรงจูงใจที่ทำให้ผมเข้าบ้านเณร ก็คือความที่ คุณพ่อเดมุนนาลีดีต่อครอบครัวของผมนั่นเอง ทำให้ผมรักท่านมาก เมื่อท่านบอกว่าให้ไปเป็นเณรเพื่อว่าจะได้เป็นพระสงฆ์เหมือนท่าน ผมจึงได้ ตัดสินใจเข้าบ้านเณร ผมเข้าบ้านเณรในช่วงเดือนพฤษภาคม พอเดือนมกราคม ในปีถัดไป คุณพ่อเดมุนนาลีก็เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจ หลังจากนั้นก็มีคุณพ่อ ชุนเอ็ง ก๊กเครือ เป็นผู้ทำหน้าที่แทนคุณพ่อเดมุนนาลี คุณพ่อชุนเอ็งได้สร้างบ้าน ให้ครอบครัวของผมที่ อ.อัมพวา แล้วก็เป็นท่านอีกเช่นกัน ที่ไปตามตัวคุณพ่อประดิษฐ์ให้มา เป็นเณรตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับคุณพ่อเดมุนนาลี
รุ่นเล็กขาสั้น รุ่นใหญ่ขายาว บ้านเณรในสมัยนั้นมีการแบ่งเณรออกเป็นสองรุ่น คือรุ่นเล็กกับรุ่นใหญ่ เกณฑ์การแบ่งรุ่นจะพิจารณาจากสภาพร่างกายและวุฒิภาวะ โดยที่ผู้ใหญ่จะตัดสินว่าใครควรจะอยู่รุ่นไหน รุ่นเล็กเวลาไปฉลองวัดจะสวมกางเกงขาสั้น ส่วนรุ่นใหญ่สวมกางเกงขายาว ในระหว่างสองรุ่นนี้จะมีการติดต่อพูดคุยกันไม่ได้ เด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันเรียนด้วยกัน แต่หากอยู่คนละรุ่นก็ติดต่อพูดคุย กันไม่ได้เลย อย่างผมตัวเล็กอยู่รุ่นเล็ก แต่คุณพ่อเสรี สินสมรส ซึ่งเรียนมาด้วยกัน ตัวท่านสูงใหญ่จึงอยู่รุ่นใหญ่ เราสองคนก็พูดคุยกันไม่ได้ แต่พออยู่ที่โรงเรียน พวกเราจะพูดคุยกันตามปกติ แม้ว่าจริงๆ จะห้ามติดต่อกัน กฎเกณฑ์นี้รวมถึง เด็กนักเรียนนอกก็ห้ามติดต่อด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นพี่น้องของเราที่มาเรียน โรงเรียนเดียวกัน แต่เมื่อเจอกันภายในโรงเรียนจะห้ามติดต่อกัน หากผู้ใหญ่รู้ ว่ามีการติดต่อกันข้ามรุ่นหรือทำผิดระเบียบอะไรจะโดนตัดคะแนน ความประพฤติ (สมัยนั้นเรียกติดปากว่า “สิบลบ”)
สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดสำหรับผมก็คือการเรียนภาษาอังกฤษ และภาษาละติน เพราะตอนที่ผมเรียนที่โรงเรียนวัดแถวบ้าน ไม่เคยได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษ มาก่อนเลย เมื่อเข้าไปเรียนตอนชั้น ม.1 เพื่อนคนอื่นๆ ที่เคยเรียนภาษาอังกฤษ มาบ้างแล้วจะเรียนนำหน้าเราไป ส่วนผมต้องมาเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่พื้นฐาน A B C แล้วเมื่อกลับมาฝั่งบ้านเณรก็ต้องมาเจอกับภาษาละตินอีก อาจารย์ที่สอนภาษา ละตินของผมคือพระสังฆราชรัตน์ บำรุงตระกูล ในขณะนั้นคิดว่าไม่สู้แล้ว รู้สึกท้อถอยจนถึงกับร้องไห้ขอกลับบ้านเลยทีเดียว แต่ทางผู้ใหญ่ก็คงเข้าใจจึงไม่ได้ว่าอะไร สอบตกก็ซ่อมมันเรื่อยมา ถึงปีที่สองผมก็ยังสอบตกอีก แล้วก็ซ่อมอีก จนถึงปีที่สามซึ่งเป็นช่วงที่ย้ายบ้านเณรจากบางนกแขวกไปยัง บ้านเณรแห่งใหม่ที่ราชบุรี การเรียนของผมก็ยังเหมือนเดิม ภาษาละตินเป็นวิชา หลักในบ้านเณร เพราะเมื่อจบจากบ้านเณรเล็กแล้ว เณรจะต้องไปเรียนต่อที่บ้านเณร ปีนังซึ่งต้องใช้ภาษาละตินในการเรียน
ในที่สุด ผมได้ไปขอลาออกกับคุณพ่ออธิการในสมัยนั้นคือคุณพ่อโปรเวรา ท่านไม่อยากให้ผมลาออก เพราะนอกจากภาษาละตินแล้ว ผมก็เป็นเณรที่ไม่มี อะไรเสียหายเลย ภาษาอังกฤษตอนนั้นก็เริ่มจะพัฒนาขึ้นมากแล้ว จะมีก็แต่ ภาษาละตินนี่แหละ ที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับชีวิตเณรของผม เมื่อคุณพ่อ อธิการอนุญาตให้ผมออกจากบ้านเณร ท่านก็เขียนจดหมายไปถึงคุณพ่อเยลิชี่ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนกแขวก เพื่อรับรองว่าผมไม่ได้ออกเพราะมีเรื่องอะไร เสียหาย แล้วขอให้รับผมเข้าเป็นนักเรียนที่โรงเรียนดรุณานุเคราะห์ เพราะใน สมัยนั้น คนที่ออกจากบ้านเณรแล้วจะไม่อนุญาตให้เรียนที่โรงเรียนเดิม หรือมา พบปะกับคนที่ยังเป็นเณรอยู่เลย ท่านจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในการย้ายกลับไปเรียน ที่โรงเรียนดรุณานุเคราะห์ให้ผม คุณพ่อเยลิชี่ท่านยังอ่านจดหมายฉบับนั้นให้ผม ฟังอยู่เลยว่าเนื้อความในจดหมายนั้นรับรองว่าผมเป็นเด็กดี ไม่มีข้อเสียหายใดๆ พอเปิดเทอมผมก็ได้กลับไปเรียนชั้น ม.5 ที่โรงเรียนดรุณานุเคราะห์ โดยไม่ต้อง เสียค่าเล่าเรียนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะท่านรู้ว่าครอบครัวของผมยากจน ซึ่งมีสาเหตุ มาจากการโดนโกงในการสร้างอาคารเรียนนั่นเอง ถือว่าโชคดีที่ผม ยังได้เรียนต่อ เพราะในกรณีปกติคงจะไม่มีโอกาสได้เรียนต่อแล้ว นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้หลายคนที่ออกจากบ้านเณรไปแล้วเสียผู้เสียคน เพราะพวกเขา โดนสังคมรังเกียจ ทำให้ชีวิตออกห่างจากพระไปโดยปริยาย
เมื่อเรียนจบจากโรงเรียนดรุณานุเคราะห์แล้ว คุณพ่อเยลิชี่ได้ขอร้องให้ผมสอน คำสอนและเป็นครูที่โรงเรียนดรุณานุเคราะห์ ท่านบอกว่าผมเคยเป็นเณรแล้วยังมี ความประพฤติดี แต่ผมก็ปฏิเสธท่านไป เพราะผมคิดอยากจะเรียนต่อ ในระหว่าง นี้เอง ผมยังคงใกล้ชิดพระอยู่เสมอ ในวันอาทิตย์จะไปร่วมมิสซาที่บ้านโดยมี คุณพ่อชุนเอ็งมาทำพิธีให้ แม่ของผมเป็นคนที่ศรัทธาและไว้วางใจในพระมาก ถึงแม้ว่า ครอบครัวของเราจะโดนมรสุมชีวิตกระหน่ำจนประสบความยากลำบาก อย่างที่สุด แต่แม่ยังคงวางใจในพระ และคอยบอกคอยสอนคอยปลอบใจเตี่ย และลูกๆ โดยย้ำอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งคือการทดลองของพระ พระองค์ทรงไว้ซึ่ง ความยุติธรรม พระองค์จะทรงทดแทนให้เราอย่างแน่นอน ขอเพียงให้เรามี ความอดทนและวางใจในพระองค์ ในสมัยที่ครอบครัวของเราอยู่ที่อัมพวา ถึงแม้จะห่างไกลวัด แต่แม่จะคอยปลูกฝังความศรัทธาในครอบครัวอยู่เสมอ เช่นก่อนนอนครอบครัวของเราจะสวดภาวนาร่วมกัน บางครั้งชาวบ้านแถวนั้น จะตะโกนด่าว่า อาจเพราะความรำคาญเนื่องจากเป็นบ้านไม้ผนังติดกัน เสียงสวด ภาวนาอาจไปรบกวนบ้านข้างๆ ได้ เด็กแถวๆ นั้นเอาหินปาใส่หลังคาบ้านบ้าง แต่แม่ก็สอนให้พวกเรามีความอดทน จนเวลาผ่านมา 20 ปี ผมรู้และแน่ใจว่าทุกๆ อย่างที่แม่พูดไว้เป็นความจริง ลูกๆ ทุกคนถึงแม้จะไม่ได้ร่ำเรียนสูง ๆ แต่ก็มีหน้าที่ การงาน และได้ดิบได้ดีกันทุกคน นี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบแทนในความรัก ที่เราทุกคนมีต่อพระองค์
ชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลาน
เมื่อจบจากโรงเรียนดรุณานุเคราะห์แล้ว ผมได้เข้าไปอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยคิดอยากจะไปศึกษาต่อในหลายๆ ด้าน แต่เนื่องจากความยากจน ไม่มีเงินจึงไม่มีโอกาสได้เรียนต่ออย่างที่คิดไว้ ผมจึงไปรับจ้างทำทุกอย่าง และทุกครั้งที่ทำก็มิได้ทำเพียงแค่ผ่านๆ แต่ผมทำอย่างจริงจัง แต่ก็ต้องย้าย ไปย้ายมา เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เหมือนกับว่าทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไปอยู่กับบริษัทไหนเขาก็เจ๊งหมด บอกได้เลยว่าผมแทบจะลืมพระไปเลย ช่วงนั้นมัวแต่สาละวนอยู่กับการทำงานหาเงิน จนไม่ได้เข้าวัดอยู่หลายปี แต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมติดมาเหมือนเป็นนิสัยคือการสวดภาวนาที่ยังทำอยู่บ้าง ผมกลับมาช่วยกิจการร้านโชว์ห่วยของเตี่ยที่อำเภอปากท่อ แต่ในที่สุด เตี่ยก็มาปิดกิจการไปอีก ผมจึงต้องกลับไปทำงานที่โรงงานกระดานที่กรุงเทพฯ แต่คราวนี้ไม่ได้เลิกเพราะเขาเลิกกิจการ แต่น้าชายของผมขอร้องให้ผมไปช่วย กิจการท่าทรายที่ลูกแก แล้วเขาก็เกิดปัญหากันจนปิดกิจการไปอีก ผมจึงไปอยู่ที่โรงเหล้าที่ลูกแก ช่วงนี้แหละที่ผมเริ่มกลับมาเข้าวัดอีกครั้ง แต่เหตุผลของ การกลับมาเข้าวัดไม่ใช่เป็นเพราะอยากกลับไปหาพระอย่างแท้จริง แต่เรื่องมัน มีอยู่ว่า ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนงานตามโรงงานต่างๆ เริ่มประท้วงเพื่อจะให้มี การหยุดงานในวันอาทิตย์ ผมจึงใช้โอกาสนี้ประท้วงบ้าง โดยการร่วมมือกับลูก ของน้าชายนั่นแหละ ขอหยุดงานในวันอาทิตย์ ช่วงนั้นพอถึงวันอาทิตย์ ผมจะแต่งตัวออกจากบ้าน จริงๆ แล้วตั้งใจจะไปเที่ยวในตลาด แต่พอน้าชาย ถามว่าจะไปไหน ไม่รู้จะตอบอะไรดีก็เลยตอบไปว่าเราจะไปวัดกัน ถือเป็นข้ออ้าง ที่ผมจะได้หยุดงานในวันอาทิตย์ครึ่งวัน แล้วกว่าจะกลับมาถึงบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อทำงานต่อก็เที่ยงพอดี จึงเป็นการกลับมาเข้าวัดอย่างไม่ได้ตั้งใจจริงๆ อย่างไร ก็ตาม ต่อมาได้มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมได้กลับมาเข้าวัด กลับมาหาพระเจ้า อย่างแท้จริง นั่นคือมีอยู่ปีหนึ่ง ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ที่วัดลูกแกยังไม่มี การละเล่นหรืองานฉลองอะไรในคืนพระคริสตสมภพ แต่ที่วัดนักบุญยอแซฟ บ้านโป่งมีการจัดงานฉลองเป็นมิสซาเที่ยงคืน ซึ่งในช่วงหัวค่ำจะมีการละเล่น ที่กลุ่มเยาวชนของวัดนักบุญยอแซฟจัดขึ้นเพื่อหารายได้เข้าวัด มีทั้งปาลูกดอก สอยดาว ฯลฯ ถือเป็นงานที่ใหญ่มาก ผมกับลูกของน้าชายและคนงานที่โรงเหล้า อีกหนึ่งคนนั่งดื่มเหล้ากัน พอเมาได้ที่แล้วเราก็พากันไปเที่ยวงาน พวกเราได้เข้า ไปหาเรื่องคุณพ่ออูลีอันนา พอไปถึงก็โวยวายเลยว่า คุณพ่อเป็นพระสงฆ์แต่กลับ ปล่อยให้มีการเล่นการพนันในวัดได้อย่างไร แทนที่วันคริสต์มาสจะไปเข้าวัดกัน การพนันเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วคุณพ่อมาทำซะเองได้อย่างไร คุณพ่อท่านได้แต่พูดว่า ใจเย็น ๆ โดยที่พวกผมยังคงต่อว่าท่านอยู่อย่างนั้น แต่ท่านกลับใจเย็นและมี ความอดทนต่อการกระทำของพวกผมมาก ขนาดสัตบุรุษที่ยืนรอท่านเพื่อจะ ขอสารภาพบาป ท่านยังให้รอก่อน เพื่อตัวท่านจะได้มาพูดคุยกับพวกผม ในที่สุด ท่านก็พูดจนพวกผมเริ่มอ่อนลง ท่านบอกว่าเดี๋ยวจะไปฟังแก้บาป แล้วยังบอกให้ พวกผมทำใจให้สบายๆ มีอะไรก็ให้ไปพูดกับท่านในที่ฟังแก้บาป ตอนนั้นผมไม่ได้ แก้บาปมาหลายปี ผมจึงถามท่านว่าผมเมาอย่างนี้ยังจะสามารถแก้บาปรับศีลได้ หรือ ท่านบอกว่าได้ ทั้งๆ ที่มีกฎว่าหากเสพสิ่งเสพติดแล้วไปรับศีลจะเป็น การทุราจารศีลมหาสนิท แต่ท่านบอกว่าพระเจ้าทรงรักเรา และพร้อมเสมอ ที่จะให้อภัย ท่านยังบอกอีกว่าที่ผมมาวัดในวันนี้ก็เพราะพระทรงให้โอกาสผมได้ กลับมา ผมจึงเถียงท่านว่าไม่ใช่เช่นนั้น ผมตั้งใจจะมาหาเรื่องคุณพ่อต่างหาก ท่านก็บอกว่านั่นแหละคือเหตุจูงใจให้ผมได้กลับมาหาพระองค์ ในที่สุด ผมและลูก ของน้าชายก็ได้แก้บาปและรับศีลมหาสนิท หลังจากนั้น ผมเกิดความสบายใจขึ้นมา จึงได้เริ่มกลับมาเข้าวัดอย่างจริง ๆ จัง ๆ พอคริสต์มาสในปีต่อๆ มา ผมจึงเป็น หัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงานคริสต์มาสที่วัดลูกแก จนวัดลูกแกมีชื่อเสียงขึ้นมา งานฉลองคริสต์มาสที่ลูกแกเป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่มากๆ แล้วปีหนึ่งๆ ก็นำรายได้ เข้าวัดมากพอสมควร จนวัดอื่นๆ นำเอาไปเป็นแบบอย่าง บางครั้งผมก็ไปช่วย จัดงานฉลองที่วัดท่าหว้าบ้าง วัดห้วยกระบอกบ้าง ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ได้เข้าวัด เรื่อยมา แม้ว่าชีวิตจะประสบความยากลำบากอยู่บ้าง แต่ผมก็ยังคงช่วยเหลือ งานของวัด รายได้จากงานคริสต์มาสส่วนหนึ่ง ผมนำไปซื้อเครื่องโรเนียวมาพิมพ์ สารวัด ผมเป็นผู้ช่วยคุณพ่อเจ้าวัดในด้านต่างๆ ใช้ชีวิตอยู่ที่ลูกแกนานพอสมควร จนได้แต่งงานเริ่มชีวิตครอบครัวที่ลูกแกนั่นเอง ต่อมาโรงเหล้าที่ผมอยู่ก็เจ๊งอีก ผมจึงตัดสินใจกลับเข้ากรุงเทพฯ และได้ย้ายมาอยู่ที่ชลบุรีในเวลาต่อมา
เริ่มต้นกิจการ : จากลูกจ้างสู่เจ้าของกิจการ
แรกเริ่มทีเดียวนั้นผมไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ แต่เป็นเพียงลูกจ้าง เพื่อนๆ ที่เป็นหุ้นส่วนกันบอกให้ผมมาดูแลโรงงานแห่งนี้ ตอนนั้นโรงงานผลิต โต๊ะจักรให้กับซิงเกอร์ และตั้งใจจะทำธุรกิจเครื่องมือเหล็ก โดยให้โรงงานแห่งนี้ ทำด้ามไม้สำหรับใส่ในเครื่องมือ เช่น เลื่อย เกรียง ฯลฯ แต่ทางโรงงานก็อยู่ใน ภาวะย่ำแย่ ในเวลานั้นลงทุนไปเป็นล้าน ผมมีหน้าที่เร่งรัดให้โรงงานผลิตด้ามไม้ ส่งตลาดญี่ปุ่น แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด ตอนนั้นโรงงานเป็นหนี้ธนาคารอยู่ร่วม 11 ล้านบาท เพื่อนๆ ที่เป็นหุ้นส่วนก็แยกย้ายกันไปหมด แต่ตัวผมทำหน้าที่พิทักษ์ ทรัพย์สินไว้ พอดีทางธนาคารมาเสนอผมว่าจะประมูลโรงงานไปทำต่อหรือไม่ สามารถตกลงราคากันได้ ผมตอบว่าไม่เอา เพราะผมเองก็เป็นลูกจ้างเขา ผมไม่มี เงินเลย แต่ทางธนาคารยังคงถามและเสนอราคาใหม่ให้ จากเดิมที่ตั้งราคาไว้ที่ 5 ล้าน ลดลงมาเหลือ 3 ล้านบาท ผมเริ่มคิดในใจว่า 3 ล้านก็น่าสนใจ แต่ปัญหาคือผมจะไปเอาเงินมาจากส่วนไหน ทางธนาคารก็แนะนำวิธีการว่าต้องวางศาล 15% แล้วที่เหลือให้นำเข้าธนาคาร ตอนนั้นผมคิดว่าไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว น่าจะ ลองดู ผมจึงรับปากกับทางธนาคาร แล้วไปหาเพื่อน ๆ เพื่อขอหยิบยืมเงินมาลงทุน โดยการประมูลโรงงานจากธนาคารในราคา 3 ล้านบาท ในวันนั้น ผมต้องนำเงิน ไปวางให้ศาล 15% ของ 3 ล้าน เงินทั้งหมดได้มาจากการขอหยิบยืมมาจากเพื่อนๆ ในระหว่างนั้นก็ไปติดต่อกับธนาคารเพื่อจำนองที่ดินตรงนี้ พอดีคุยกับทางผู้จัดการธนาคาร คุยไปคุยมาจึงทำให้รู้ว่าผู้จัดการธนาคารนั้นเป็นคนที่ บางนกแขวกนั่นเอง แม้ว่าเป็นคนพุทธแต่เขาก็ช่วยวิ่งเต้นให้ ในที่สุดเขาบอกว่า ให้ผม 5 ล้าน พอเอาไปเข้าธนาคารไม่ใช่ได้แค่ 5 ล้าน กลับได้ถึง 6 ล้าน ภายในเดือนนั้นเอง ผมสามารถนำเงินไปใช้หนี้คืนให้กับเพื่อนๆ ได้ทั้งหมด เหลือเงินอีก 3 ล้านก็เอามาหมุนกิจการภายในโรงงาน ทำการบูรณะเครื่องจักร และโรงงาน แถมยังขายเครื่องจักรบางตัวด้วย
พาเลท (Pallet) : จุดเริ่มต้นของ เอสพี พาราวูดส์
ในเวลานั้นผมคิดหนักว่าจะผลิตอะไรดี เพราะตอนนั้นไม่ได้ผลิตด้าม อุปกรณ์กับโต๊ะจักรแล้ว ทางซิงเกอร์เองก็เลิกกิจการผลิตจักรไปแล้ว พอดีกับจังหวะที่เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวไต้หวันที่มาอยู่เมืองไทยนานแล้ว ได้แนะนำว่าน่าจะทำพาเลท (Pallet) ซึ่งเป็นแท่นไม้ที่ใช้รองสินค้าเพื่อให้รถโฟล์คลิฟต์ยกสินค้าใส่ตู้คอนเทนเนอร์ ในตอนนั้นผมยังไม่รู้จักว่าไอ้เจ้าพาเลท นี่คืออะไร สมัยนั้นยังไม่มีใครทำเลย ผมจึงใช้ไม้ที่มีอยู่แล้วมาทำพาเลท โดยเพื่อนคนนี้จะรับซื้อเพื่อนำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง ตอนนั้นเศรษฐกิจกำลัง ฟื้นตัว โรงงานต่างๆ เริ่มนิยมใช้พาเลทในการส่งสินค้าใส่ตู้คอนเทนเนอร์มากขึ้น เราจึงจัดได้ว่าเป็นผู้ทำพาเลทรายแรกๆ ก็ว่าได้ ส่งไปแถบอยุธยา ประตูน้ำพระอินทร์ ที่มีบริษัท ญี่ปุ่นมาเปิดโรงงาน ในระยะแรกๆ เริ่มผลิตจาก จำนวนน้อยๆ ก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มขยายการผลิตมากขึ้นเรื่อย ๆ
การผลิตพาเลทจึงเป็นกิจการที่ผมทำมาจนถึงปัจจุบันนี้ ขณะนี้มีโรงอบไม้ อยู่ที่ระยองอีกหนึ่งโรง ในสมัยนั้นไม้ยางพารายังไม่ค่อยมีใครนำมาใช้ประโยชน์ เนื่องจากเป็นไม้ที่ถูกมอดกิน แต่เราได้นำเทคนิคการอบไม้มาจากคนที่ทำอยู่ ในโรงงานเดิม โดยการนำไซยาไนด์มาแช่ไม้แล้วอบแห้ง ไม้ที่ได้จะมีความทนทาน มอดไม่สามารถกินได้ ถือได้ว่าที่ผมประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะการผลิตพาเลทนี่เอง
กว่าจะมาถึงวันนี้ปัญหามีเยอะมาก เริ่มตั้งแต่ตอนที่คิดจะซื้อโรงงานแห่งนี้แล้ว เพราะเมื่อเราซื้อมาเราก็เป็นหนี้ที่เราต้องผ่อนส่งธนาคาร แล้วกิจการในระยะแรกๆ ก็ไม่ค่อยดี เพราะกว่าที่คนจะรู้จักพาเลทแล้วสั่งสินค้าของเรา ก็ต้องอาศัยเวลา ในระยะแรกแทบจะไปไม่รอด เพราะต้องส่งทั้งเงินต้นทั้งดอกเบี้ย ทำไปได้เพียง สองปีก็โดนธนาคารฟ้องแล้ว แต่เราก็พยายามกัดฟันสู้ ในระยะแรก 2 สามีภรรยา ต้องทำกันเองทั้งหมดไม่ได้จ้างลูกจ้าง ต่อมาจึงเริ่มจ้างลูกจ้าง 1-2 คน จากที่ทำ เดือนละ 100 ตัวก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 100-200 ตัว แล้วลูกจ้างก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาประมาณ 3 ปี มีลูกจ้างถึง 40 คน ช่วงนั้นเริ่มตั้งตัวได้ นิดหน่อยแล้ว แต่เราก็อยากหาช่องทางที่จะเพิ่มรายได้ พอดีมีคนมาชักชวน ให้ผมไปทำบ่อกุ้ง ผมเองคิดว่าน่าจะไปได้ดี เพื่อจะมีรายรับเข้ามาอีกหนึ่งช่องทาง ในการช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนธนาคารให้เร็วขึ้น
จากหนี้ธนาคารเพียง 6 ล้านบาท ต่อมาก็เพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านบาท เนื่องจาก การขาดส่งเงินต้นและดอกเบี้ยที่พอกพูนจนเกือบจะโดนยึดทรัพย์ เราจึงสนใจ การทำบ่อกุ้ง แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เพราะกิจการเลี้ยงกุ้ง ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่าไหร่หากจะโดนยึดทรัพย์ ตอนนั้นคิดว่าเราได้มาฟรีๆ ถ้าจะโดนยึดไปก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ผมกังวลว่าจะ ตามมาภายหลังคือ การโดนฟ้องล้มละลาย ต่อมาผมต้องไปทำสัญญากับธนาคาร ใหม่อีกครั้ง จึงได้มองหาช่องทางอื่นๆ ที่จะช่วยแบ่งเบา ส่วนธุรกิจพาเลทก็พยายาม หาตลาดเพิ่มมากขึ้น บางครั้งก็ต้องไปกู้เงินนอกระบบ ช่วงหลายปีนั้นถือได้ว่าเป็น ความยากลำบากอย่างมาก ลำบากอยู่เป็น 10 ปี จนในที่สุดก็โดนธนาคารฟ้องอีก เป็นครั้งที่ 2 โดนทำทัณฑ์บน ต้องไปทำสัญญาใหม่อีกครั้งหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่ง ผู้จัดการเขตของธนาคารมาคุยกับผม และเข้ามาดูโรงงาน ผมก็พูดคุยตามปกติ แต่ก่อนกลับเขาถามผมว่า ทำไมผมไม่แสดงอาการเป็นเดือดเป็นร้อนเลย หรือว่าผมยังมีช่องทางทำกินอื่นๆ อีก ที่จะสามารถทำให้ธุรกิจฟื้นตัวขึ้นมาได้ ผมก็ตอบไปว่าผมรู้สึกเฉยๆ ถ้าธนาคารจะยึดก็ยึดไป แต่ถ้าให้โอกาสผม ทำกินต่อผมก็จะทำ คือถ้าเศรษฐกิจฟื้นผมก็คิดว่าผมสามารถไปต่อได้ เขาจึงถามผมว่า ถ้าเขาจะให้เงินอีกหล่ะ ผมตอบไปว่าอย่าให้เงินผมอีกเลย เพียงแต่อย่ามาบีบผม ให้ผมทำต่อไปผมก็สามารถไปต่อได้ ที่ผมดูเหมือน ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเลย ก็เพราะผมมาเปล่าๆ ไม่เหมือนกับรายอื่นที่ต้อง เป็นเดือดเป็นร้อน เขาจึงพูดกับผมอีกว่า ทางธนาคารนั้นไม่อยากจะยึดหรอก เพราะชีวิตของธนาคารคือการนำเงินมาหมุน ถ้ายึดไปก็ไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้ สิ่งที่ธนาคารต้องการคือ อยากให้โอกาสผม เขาจึงเสนอให้ผมอีก 2 ล้าน ผมจะว่า อย่างไรได้นอกจากยินดีรับ เพราะจะได้นำเงินมาหมุนต่อ แล้วเขาก็ให้ผมจริงๆ ผมจึงมีเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจต่อไป พอดีกับที่ช่วงนั้นเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว อีกครั้ง ผมก็พลอยฟื้นตัวตามไปด้วย จะว่าไปแล้วผมคิดว่ามีเหตุบังเอิญ เกิดขึ้นเยอะมาก หลังจากนั้น ผมสามารถใช้เงินต้นคืนธนาคารได้ทั้งหมดภายใน 2 ปี สรุปง่ายๆ คือในช่วง 7-8 ปีแรกนั้น ผมต้องล้มลุกคลุกคลาน แต่หลังจากนั้น ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้เรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เพราะได้ตัดสินใจซื้อที่ทาง เพื่อขยายกิจการอยู่ตลอด
ผมกล้าพูดได้เลยว่าเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นเสมอๆในชีวิตของผมนั้นมาจาก พระเจ้าผ่านทางคำภาวนาของแม่พระ เพราะผมสวดภาวนาวอนขอแม่พระ ตลอดมา เกิดอัศจรรย์ในชีวิตของผมทำให้ผมได้งานตลอด ทุกสิ่งเป็นเพราะ ความช่วยเหลือของแม่พระทั้งสิ้น จนในที่สุด พอเศรษฐกิจดีขึ้นเราก็ผ่าน วิกฤตนั้นมาได้ ปัจจุบันผมมีตลาดเป็นโรงงานที่อยู่ตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานเม็ดพลาสติก ยางเทียม เป็นต้น จากนั้นมา เวลาคิดจะลงทุนทำอะไร ผมจะค่อยๆ คิด เพราะเวลาทำอะไรแล้วไม่ประสบความสำเร็จขึ้นมา มันจะเป็น ช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ ตอนนี้ได้ซื้อที่ทางเอาไว้แล้วทำฟาร์มจระเข้ ทำสวนปาล์ม ในสวนปาล์มนั้นจะมีบ้านพักที่สร้างเอาไว้ คิดว่าเมื่อเราเกษียณ ตัวเองแล้วก็จะเข้าไปอยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้เปิดให้องค์กรต่างๆ เช่น เยาวชน กลุ่มคริสตชนจากวัดต่างๆ สามารถเข้าไปพักได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ถือว่าเป็นการตอบแทนพระอีกทางหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ที่ผมไม่ประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงานเลย ผมไม่เคยคิดว่า เป็นเพราะพระไม่ทรงอวยพรผม แต่ผมคิดอยู่ตลอดว่าเป็นผมเองต่างหาก ที่ลืมพระไป เพราะหลังจากที่ผมออกจากบ้านเณรไปนั้น ผมก็ระเหเร่ร่อนทำงาน เรื่อยมาจนไม่ได้คิดถึงพระเลย แล้วอีกเหตุผลหนึ่งก็คือในสมัยก่อนนั้น คนที่เคยเป็นเณรแต่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์ เมื่อออกมาจากบ้านเณรมักจะถูกสังคม ประณามเอามากๆ ในสมัยนั้นพระสงฆ์เป็นดั่งความหวังของทุกคน ทุกคนจะ คาดหวังว่าเณรนั้นต้องเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ออกมาจากบ้านเณรจึงถูกมองเป็น คนไม่ดี พูดได้ว่าแทบจะไม่เหลือความเป็นผู้เป็นคนอยู่เลยทีเดียว คนที่ออกมา ส่วนมากจึงห่างหายไปกันหมด นั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ช่วงนั้นผมได้ออกห่าง จากความรักของพระไป
งานของพระศาสนจักร
มีคำพูดหนึ่งที่ว่า “เมื่อออกจากบ้านเณรแล้ว ห้ามกลับมาที่บ้านเณรอีก” ห้ามมาให้เห็นหน้าเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะกลัวว่าเราจะไปทำให้เณรที่อยู่อยาก จะออกบ้าง ความคิดเหล่านี้เพิ่งจะถูกเปลี่ยนในภายหลัง เมื่อคุณพ่อสมบูรณ์ แสงประสิทธิ์ เล็งเห็นว่าบรรดาศิษย์เก่านี่แหละที่จะสามารถเป็นกำลังสำคัญให้กับ พระศาสนจักรได้ ท่านจึงได้รวบรวมบรรดาศิษย์เก่าให้กลับเข้ามาทำประโยชน์ ซึ่งทุกคนต่างมีความปรารถนาที่จะกลับมา เพราะยังระลึกถึงบุญคุณของบ้านเณร ยังคิดถึงข้าวหม้อใหญ่ที่ร่วมทานด้วยกัน เณรในสมัยก่อนนั้นจะรักกันมาก ปีหนึ่งๆ จะได้กลับบ้านเพียงไม่กี่วัน ความรักความผูกพันจะมีในหมู่เพื่อน เป็นอย่างมาก อาจมากกว่าคนในครอบครัวเสียอีก ขนาดพ่อแม่มาเยี่ยม คุณพ่อจะบอกว่าอยู่ที่นี่ สุขสบายดีแล้ว ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นก็ไม่ควรมาเยี่ยม พอช่วงปิดเรียนเราจะไปพักผ่อนร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความผูกพันในหมู่คณะ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของการอบรมแบบซาเลเซียน เพราะนักบวช ซาเลเซียนต้องฝึกฝนให้เคยชินกับการห่างเหินจากครอบครัว เพื่อในอนาคตเมื่อถูก ส่งออกไปเป็นธรรมทูตในต่างแดนจะได้ไม่มีปัญหา
เมื่อผมมาอยู่ที่ชลบุรี ผมก็เป็นสัตบุรุษของวัดชลบุรี และได้ช่วยเหลืองาน ของสังฆมณฑลจันทบุรีมาโดยตลอด เริ่มจากงานคริสต์มาส ผมเห็นว่าทางวัด ที่นี่ก็จัดงานเหมือนกัน แต่จะแจกของขวัญให้ฟรีๆ ปีหนึ่งๆ มีค่าใช้จ่ายหลาย หมื่นบาทโดยที่ทางวัดไม่ได้อะไรเลย ผมจึงแนะนำให้ทางวัดขายบัตรจับรางวัล คุณพ่อเจ้าวัดก็อนุญาต ในปีแรกๆ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ไม่มีคนบริจาค ของขวัญเพื่อจับรางวัลและไม่มีใครให้ความสนใจ แต่เรายังคงพยายามอดทน ทำเรื่อยมาจนค่อยๆ ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันนี้ ปีหนึ่งๆ เราตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมี รายได้จากงานคริสต์มาสไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท โดยรายได้ทั้งหมด จะถูกแบ่งออก เป็น 3 ส่วน หนึ่งแสนจะใช้เพื่อกิจการของกลุ่มสภาอภิบาลวัด อีกหนึ่งแสนจะ เข้าโรงเรียนเพื่อจัดสรรสำหรับเด็กนักเรียนที่ขาดแคลน ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเหลือ หนึ่งแสนกับอีกเท่าไหร่ก็ตามจะเข้าวัดทั้งหมด ผมทำเช่นนี้เรื่อยมาจนได้รับเลือก ให้เป็นผู้อำนวยการสภาอภิบาลวัด และได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรมสภา- อภิบาลวัดของสังฆมณฑลจันทบุรีด้วย อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของสังฆมณฑล เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อฆราวาสของ สภาพระสังฆราชคาทอลิก แห่งประเทศไทย ในระหว่างนี้คุณพ่อไพศาล อานามวัฒน์ (เสียชีวิตแล้ว) ได้ชักชวน ให้ผมไปร่วมงานกับหน่วยงานศาสนสัมพันธ์ ผมจึงได้เป็นประธานของหน่วยงาน ศาสนสัมพันธ์อีกหนึ่งตำแหน่ง จนปัจจุบันงานของพระศาสนจักรที่เกี่ยวกับ ฆราวาส ผมจะเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างมาก ทางสังฆมณฑลจันทบุรีก็วางใจให้ผม ทำหน้าที่เป็นตัวแทนฆราวาสของสังฆมณฑล
ครอบครัวดีเป็นบ่อเกิดแห่งกระแสเรียกที่ดี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพระสงฆ์ก็ตาม หลายคนที่ประสบความสำเร็จล้วนมาจากครอบครัวที่ดี มีการปลูกฝัง ความศรัทธา ยิ่งได้รับการอบรมในบ้านเณรด้วยยิ่งส่งผลดีมากขึ้นไปอีก แม้จะไม่ได้บวชเป็นพระสงฆ์ก็ไม่เป็นไร หรือแม้จะประสบความยากลำบาก
ในชีวิตเราก็ไม่ย่อท้อ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความศรัทธา โดยเฉพาะพวกเรา ที่มาจากบ้านเณรราชบุรี เรามีแม่องค์เดียวกันคือพระมารดาผู้ปฏิสนธินิรมล เราต้องมีความรักและวางใจในแม่ของเรา แม่พระสามารถช่วยเราได้มากมายจริงๆ อย่างเช่นผมที่เคยลืมพระ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ผมก็กลับมาหาพระองค์อีกครั้ง โดยอาศัยความศรัทธาในแม่พระเป็นพิเศษ สิ่งที่ผมยึดถือและให้ทุกคนใน ครอบครัวปฏิบัติตามก็คือ ทุกวันเสาร์เราจะต้องถวายความศรัทธาภักดีต่อแม่พระ โดยการไปร่วมทำนพวารแม่พระนิจจานุเคราะห์พร้อมกันทั้งครอบครัว เป็นเหตุผล ที่ว่าทำไมครอบครัวของผม จึงได้รับรางวัลครอบครัวคริสตชนตัวอย่าง เหตุผลจริงๆ แล้วที่ผมพาครอบครัวไปวัดก็เพราะผมไม่ต้องการให้เราลืมพระ ที่ผ่านมาเมื่อผมหลงลืมพระครั้งใด ผมไม่เคยได้ดีเลย จนเมื่อพระทรงเมตตาผม ผมจะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จทุกครั้งไป ผมจึงประดิษฐานรูปปั้นแม่พระ เอาไว้ที่ด้านหน้าโรงงาน เมื่อผมทำให้คนงานของผมเห็นเป็นแบบอย่างต่อไป พวกเขาก็จะปฏิบัติตาม เป็นการแสดงว่าผมได้ถวายกิจการไว้ในอ้อมพระหัตถ์ ของพระเจ้าและแม่พระแล้วนั่นเอง