จาก เศษ หิน ดิน ทรายเกษม บุญเจริญ
เข้าบ้านเณร ปี พ.ศ. 2520
การศึกษา - โรงเรียนดรุณาราชบุรี
- โรงเรียนดรุณาราชบุรีพณิชยการ
- ศิลปศาสตรบัณฑิต(ปรัชญา)วิทยาลัยแสงธรรม
- กำลังศึกษาต่อด้านโลจิสติกส์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ปัจจุบัน - ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โตโยต้า ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด
- ประธานชมรมศิษย์เก่าบ้านเณรราชบุรี คนปัจจุบัน
เรื่องราวในอดีต
หวนรำลึกถึงอดีต 35 ปีที่ผ่านมา การเข้าบ้านเณรครั้งนั้น ยังจำได้ว่า คุณพ่อบุญส่ง หงษ์ทอง เป็นผู้ชักชวนให้เข้าบ้านเณร ในขณะนั้นชีวิตในวัยเด็ก ทุกคนยังติดเพื่อน ผมเองก็เช่นกัน ก่อนตัดสินใจเข้าบ้านเณรได้ลองถามเพื่อน แถววัดบางนกแขวกว่า มีใครสนใจที่จะเข้าไปอยู่บ้านเณรบาง ในตอนแรกมีอยู่ ประมาณ 6-7 คน แต่เอาเข้าจริง ๆ มีเพียง 4 คนที่เข้าบ้านเณร (ผม - นิพนธ์ ยอแซฟ - แสงสูรย์ แก้วเสนีย์- จุฑาวิช รุจิรัตน์ ) และสุดท้ายเหลือผมเพียงคนเดียว ที่ผ่านบ้านเณรเล็กราชบุรี ไปบ้านเณรกลางโคราช และบ้านเณรใหญ่ที่สามพราน ตามลำดับ
แต่ก่อนอื่น ขอเล่าตอนยังเป็นเณรเล็กอยู่ ในขณะนั้นสมัยตอนอยู่ มศ. 1 ทางบ้านเณรและโรงเรียนสนับสนุนการเล่นบาสเก็ตบอลอย่างมากพวกเราเล่น กีฬากันทุกวัน ทุกเวลาที่มีเวลาพัก และตัวผมเองก็ชอบกีฬาบาสเก็ตบอลอย่างมากช่วงที่มีการแข่งขันกีฬาจังหวัด พวกเราจะมีการเก็บตัว และซ้อมบาสเก็ตบอลทั้งวัน และทุกวัน ในช่วง มศ. 2 ยังจำได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่รุ่งมาก ๆ ได้อันดับ 1 รุ่นอายุ 13 ปี และได้อันดับ 1 ทุกปี จนถึง 18 ปี ในจังหวัดราชบุรีไม่มีใครสู้เราได้ รวมถึงตอนเรียนพาณิชย์ ซึ่งเปิดเป็นรุ่นที่ 2 ก็สนุกมาก พวกเณรเราที่เรียนพาณิชย์ ได้เกรดเฉลี่ยค่อนข้างดีกันทุกคน ขณะนั้นพวกเณรเรียนรวมกันทั้งหญิง-ชาย สนุกจริง ๆ นักเรียนผู้หญิงก็ชอบสามเณรเป็นของธรรมดา เพราะสามเณรย่อม มีความแตกต่าง กริยา มารยาท สามเณรของเราเจ๋งมาก ๆ และเป็นผลทำให้ในรุ่นมีการลาออกจากบ้านเณรค่อนข้างเยอะเพราะเรื่องผู้หญิงนี่เอง จำได้ว่า ช่วงวันหยุดมีการนัดแนะกันระหว่างพวกเรากับผู้หญิง เพื่อไปเที่ยวหัวหินกัน โดยพวกเราจะนั่งรถไฟไปและนอนค้างที่หัวหิน 1 คืน มีสามเณร 4 คน รวมตัวผมด้วย ระหว่างเดินทางไปสถานีรถไฟราชบุรีก็มีอาจารย์เห็นเราไปกับ ผู้หญิง อาจารย์ก็มาแซวเรา แต่ยังดีที่อาจารย์ไม่ได้บอกคุณพ่ออธิการบ้านเณร เลยรอดตัวไป ช่วงที่เรียนมัธยมปลายหรือพาณิชย์นี้ ถือว่าเป็นช่วงระยะวัดใจ ใครจะอยู่หรือใครจะไปก็ตอนนี้เอง ส่วนใหญ่ลาออกเยอะมากและแล้วก็เหลือ 7 คน ที่ตัดสินใจไปบ้านเณรกลาง จากสังฆมณฑลราชบุรี 4 คน คือ คุณพ่ออภิสิทธิ์ กฤษเจริญ - ผม - จิตรประสงค์ กิจเจริญ - สุรศักดิ์ ก๊กเครือ และจากสังฆมณฑลเชียงใหม่ 3 คน คุณพ่อดุรงค์ฤทธิ์ กระบวนศิริ - คุณพ่อเจริญ นันทการ - ไชยา เบญจวรรณ์ ที่บ้านเณรกลางเป็นช่วงที่เรียนภาษา เรียนปรัชญา เรียนคัมภีร์ และชีวิตภายใน และเป็นช่วงแบ่งปันประสบการณ์ เป็นเวลา 1 ปี จากนั้นพวกเราก็มุ่งสู่บ้านเณรใหญ่ (วิทยาลัยแสงธรรม) ด้วยกัน
ช่วงอยู่บ้านเณรใหญ่เป็นช่วงแห่งการเรียนที่พวกเราต้องใส่ใจกันมาก ๆ แต่ก็ไม่ง่าย ทั้งปรัชญา คัมภีร์ และภาษาละติน ช่วงที่อยู่บ้านเณรใหญ่ถือว่า เป็นช่วงที่ดีมาก ๆ เพราะพวกเราได้รวมตัวกันทุกสังฆมณทลในประเทศไทย ทำให้พวกเรามีเพื่อนเยอะ พวกเราก็เป็นเพื่อนกันและสนิทกัน ช่วงที่อยู่ บ้านเณรใหญ่ชีวิตก็ราบเรียบและปกติดี ในช่วงนี้ก็มีการฝึกงานเยอะ โดยเฉพาะ งานเยาวชน งานคำสอน พวกเรามีงานช่วงภาคฤดูร้อนค่อนข้างเยอะ โดยจะ ช่วยงานในทุกสังฆมณฑล ไม่มีการแบ่งแยกและสุดท้ายจบบ้านเณรใหญ่ปี 4 พวกเราก็ต้องพักเรียน 1 ปี เพื่อฝึกงาน ช่วงนี้ผมได้กลับมาดูแลบ้านเณรเล็กที่ราชบุรี และระหว่างดูแลเณร ผมจึงมีเวลา สำหรับพิจารณากระแสเรียก มีการเข้าเงียบ ขอพรพระว่าสิ่งที่เราเลือกหรือ เราถูกเลือกขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระ โดยปกติผมต้องเข้าบ้านเณรใหญ่ เพื่อศึกษาด้านเทววิทยา แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจไม่เข้าบ้านเณรใหญ่ และขอเลือกใช้ชีวิตแบบฆราวาส
ขอนำท่านเข้าสู้เรื่องราวของสามเณรคนหนึ่งที่ต้องออกไปใช้ชีวิตแบบฆราวาส
ทำงานที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
ชีวิตฆราวาส หลังจากลาออกจากการเป็นเณร ไปทำอะไรมาบ้าง ในช่วงแรกนี้ ก็ยังลอย ๆ อยู่ มีหลายคนอยากให้ไปทำงานด้วย อยากให้เป็นโน่นเป็นนี่ จำได้ว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่สนิทกันมาก สามีของอาจารย์เป็นศึกษาธิการอำเภอ อยากให้ผมไปช่วยงานด้านกีฬา ที่สุพรรณบุรี ช่วงแรก ๆ ก็รับปากว่าจะไปช่วย แต่ชีวิตก็ผกผัน เนื่องจากพอดีมีเพื่อนทำงานอยู่สังคมพัฒนา ของอัคร- สังฆมณฑลกรุงเทพฯ แนะนำให้ไปทำงานที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ สาทร จึงได้ไปทำงานที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ในตำแหน่งผู้ช่วยเภสัชกร คอยจัด ยาแต่ละชนิดตามที่คุณหมอเขียนในใบจ่ายยา ตอนอยู่ใหม่ ๆ คิดในใจว่า ลายมือคุณหมอ (โครตห่วยเลย อ่านไม่ออกเลย) หลังจากนั้นต้องใช้ความจำ ในการจดจำตัวอักษรภาษาอังกฤษที่คุณหมอเขียน และจำนวนมิลลิกรัมของยา เพราะความแตกต่างของชนิดยาต้องดูที่มิลลิกรัม และจำให้ได้ว่าคุณหมอคนไหน ชอบจ่ายยาอะไร แล้วเราก็จัดได้ถูกต้อง ทำงานอยู่ที่เซนต์หลุยส์ประมาณปีครึ่ง แล้วจึงออกไปหางานใหม่ด้วยตนเอง เพราะอยากจะลองใช้ความสามารถ ของตัวเองดูบ้างขายประกันชีวิต บริษัท เอ.ไอ.เอ จำกัด ในช่วงนี้มีพี่ที่รู้จักกันชักชวนให้ไปทำงานด้านประกันชีวิต ที่บริษัท เอ.ไอ.เอ จำกัด เลยลองทำดู ไปอบรม ไปดูเค้าขายประกันชีวิตกัน แล้วก็สมัครเป็นตัวแทน ขายประกัน ในเบื้องต้นก็ขายญาติพี่น้อง ขายคนรู้จัก ขายให้กับเพื่อนสนิท ขึ้น ๆ ล่อง ๆ ลองขายดู ขายอยู่ประมาณ 2 ปี ก็รู้สึกว่าชักจะไม่ไหวแล้ว ก็เลยขอ ลากับพี่เค้าว่า “ผมไม่ไหวแล้ว”
ทำงานที่บริษัท โตโยต้า ทูโช (ประเทศไทย) จำกัด
ตอนสมัครงานที่บริษัท โตโยต้า ทูโช (ประเทศไทย) จำกัด แถวโบสถ์แม่พระ ดินแดง ตอนสัมภาษณ์มีผู้จัดการทั้งหมด 10 คน ทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทย สัมภาษณ์กันใหญ่เลย ว่ามีความสามารถอะไรบ้าง ผมก็บอกไปว่าเคยอบรม เป็นสามเณร เรียนพาณิชย์ เรียนปรัชญา ผ่านการฝึกอบรม YMCA คอร์สการเป็น ผู้นำ ผู้สัมภาษณ์ให้ผมร้องเพลงบ้าง ร้องลิเกบ้าง แล้วแต่ว่าเค้าจะให้ทำอะไร ผมคิดอย่างเดียวว่าต้องทำได้หมด และทีหลังมาทราบว่ามีหลายแผนกต้องการ เลือกผมไปร่วมงานด้วย และทางบริษัทก็รับผมเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ ฝ่ายขายวัตถุดิบที่เป็นเหล็ก - อะลูมิเนียม - ทองแดง
ชีวิตในวัยทำงานมีความสนุกมาก สนุกกับการทำงาน และสนุกกับการเที่ยว กับเพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วยกัน และการเลี้ยงรับรองลูกค้า อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ทำงาน หนักมาก ๆ ทำถึง 4 - 5 ทุ่ม เกือบทุกวัน เพราะสมัยเกือบ 20 ปีที่แล้ว เทคโนโลยี และเครื่องมือในการทำงานยังล้าสมัย ใช้เครื่องคิดเลขในการคำนวณ และใช้มือ เขียนเอาเอง เลยต้องใช้เวลาในการทำงานมากอยู่ ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เหมือนในสมัยนี้ พนักงานก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า ทำได้ทุกอย่าง มีความอดทน และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เป็นผลจากการได้รับการอบรมจากบ้านเณรทั้งนั้น
ในช่วงที่ทำงานกันใหม่ ๆ นั้น มีปรัชญาในการทำงานของตัวเองคือ
1) มีความอดทน
2) ตั้งใจทำงาน
3) ตรงต่อเวลา
4) ปฎิบัติตามผู้บังคับบัญชา
5) ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน
เพราะสิ่งที่ปฏิบัติในการทำงาน จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ และ ผู้ถือหุ้น ให้มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้น และสามารถปฎิบัติงานได้บรรลุ ตามเป้าหมาย โดยในระหว่างการทำงานนั้น ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้าน ต่างประเทศ จึงทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานต่างประเทศอยู่บ่อยๆ และสิ่งที่ ผมได้จากการศึกษาดูงานนั้น จะนำกลับมาปรับใช้ในการทำงานในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นงานที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะงานของ รถยนต์โตโยต้า ที่ในหลายประเทศมีโรงงานผลิตเหมือนเมืองไทย แต่ขอบอกเลยว่า โรงงานผลิตรถยนต์บ้านเราสุดยอดแล้ว ดีที่สุด กระบวนการผลิต และกระบวนการ ตรวจสอบด้านคุณภาพ ไม่มีที่ไหนสู้เมืองไทยได้
ผมทำงานหลายหน้าที่ และหลายแผนกของบริษัท จนในที่สุด ผู้ใหญ่เห็นว่า ทำงานมานานแล้ว มีความรู้ความสามารถ เมื่อทางบริษัทได้จัดตั้งแผนกใหม่ขึ้นมา จึงต้องการคนให้ไปช่วยดูแล ผมจึงถูกส่งให้ไปเป็นผู้จัดการแผนกฝึกอบรม ของบริษัท และผมก็เป็นผู้จัดการแผนกฝึกอบรมคนแรกของบริษัทในประเทศไทย ทำหน้าที่วางรากฐานการฝึกอบรมอยู่ 1 ปี หลังจากนั้นทางบริษัทได้เข้าไป เทกโอเวอร์ บริษัท โตโยต้า ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเดิมเป็นของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ทางผู้ถือหุ้นและคณะผู้บริหารจากประเทศ ญี่ปุ่น ได้ทาบทามให้ผมไปร่วมงานด้วย
ทำงานที่บริษัท โตโยต้า ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด
ในฐานะผู้บริหาร ที่ต้องรับผิดชอบงานด้านการจัดส่งรถยนต์ของโตโยต้า ไปส่งยังดีลเลอร์ทั่วประเทศ ร่วมถึงประเทศลาว และประเทศกัมพูชาด้วย ในช่วงที่ทำงานที่นี่ใหม่ๆ จึงต้องทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึง ตี 1 ตี 2 เกือบทุกวัน เป็นเวลาติดต่อกันเกือบ 2 ปี เพราะในการทำงานที่ใหม่ ๆ จำเป็นต้องเข้าให้ถึงงาน และปัญหาที่เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญ คือ บริษัททำงาน 2 กะ มีทั้งกลางวันและกลางคืน ถ้าผมไม่อยู่ในเวลากลางคืน ก็จะไม่รู้ปัญหาของการ ทำงานในเวลากลางคืน หลังจากทำเช่นนี้อยู่เป็นปีจึงเข้าใจงาน และปัญหาที่เกิดขึ้นและในระหว่างการทำงานนั้น ก็ได้มีการวางแผน จัดระบบการทำงาน จัดขั้นตอน การทำงาน จนมีระบบที่ดีขึ้น มีการควบคุมงาน โดยจัดสรรพนักงานให้ทำงาน เป็นทีมเวิร์ก ร่วมประชุมกัน และมีการรายงานทันทีเมื่อมีปัญหาจากการปฏิบัติงาน
นโยบายการทำงาน
1.จัดนโยบายการทำงาน ทำงานด้วยความปลอดภัย
2.ควบคุมการปฏิบัติงานตามขั้นตอน
3.จัดประชุม OBEYA (โอเบย่า : มาจากภาษาญี่ปุ่นหมายถึงห้องขนาดใหญ่ เป็นการประชุมเพื่อวิเคราะห์ปัญหา ข้อบกพร่อง แล้วหาวิธีแก้หรือป้องกัน - บรรณาธิการ) ทุกอาทิตย์รายงานสิ่งผิดปกติจากการปฏิบัติงาน
4.มีปัญหาอุบัติเหตุ รายงานทันที
5.ตรวจติดตามงาน
บทสรุปของชีวิต
ชีวิตที่ผ่านมาของผมในด้านต่างๆ นั้นดีหมด ทั้งหน้าที่การงาน สังคม เพื่อนฝูง ความมีหน้ามีตาในสังคม หากแต่มีบางอย่างขาดหายไป ซึ่งไม่สามารถ เขียนลงมาในหนังสือเล่มนี้ได้ ถ้าใครอยากรู้ ถามส่วนตัวได้นะครับ จะเล่าให้ฟังโดยไม่คิดสตางค์
สิ่งที่จะขอฝากเอาไว้ตรงนี้คือ ขอให้พวกเราชาวศิษย์เก่า หากวันใดที่เราคิดถึง บ้านเณร วันนั้นให้เราร่วมทำบุญให้บ้านเณรเถอะ เพราะพวกเรากินข้าวบ้านเณร ไปเยอะ ช่วยกันคนละไม้ คนละมือ สำหรับบ้านเณรของเรา
ศิษย์เก่าทั้งหลาย อย่าลืมคิดถึงพระบ้าง ทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ เพราะเราเกิดมาตามน้ำพระทัยของพระ และด้วยพระพรของพระ พวกเราจึงอยู่ได้ จนถึงทุกวันนี้